4 Fashion Trends from Streets in Milan-Paris Fashion Week 2023

สรุปแล้วที่นี่! 4 เทรนด์สายสตรีทแฟชั่นจากมิลาน-ปารีสแฟชั่นวีค 2023

04/02/2023

...

ในที่สุด ก็เวียนกลับมาเจอกันอีกครั้งกับช่วงสัปดาห์แฟชั่นหรือที่หลายคนเรียกกันติดปากว่า Fashion Week ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าห้วงเวลานี้ของปฏิทินเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่เหล่าแฟชั่นนิสต้ารอคอยกันอย่างใจจดใจจ่อ (บางคนถึงขั้นบันทึกแจ้งเตือนไว้ในปฏิทินเลยทีเดียว)… อะไรจะมา แบรนด์ไหนจะดับสูญไป หรือแม้แต่สไตล์ไหนที่จะถูกหยิบยกมาสู่สังคม แน่นอนว่าคำถามร้อยแปดพันข้อต่างพรั่งพรูออกมาไม่ได้ราวกับซิลูเอทของเสื้อผ้าที่ผ่านตาในช่วงแฟชั่นวีค

เพราะอะไร “แฟชั่นวีค” จึงสำคัญ? เป็นอีกหนึ่งคำถามที่คนมักจะสงสัยว่าเพราะอะไรเราถึงต้องเจียดเวลาแฟชั่นวีคถึงขนาดนี้ คำตอบก็คือ “ขึ้นอยู่กับว่าถามใคร” เพราะมุมมองของแต่ละคนต่อแฟชั่นวีคนั้นย่อมแตกต่างกันออกไป สำหรับเหล่าผู้นำเทรนด์แฟชั่น ดาราศิลปิน หรือคนในแวดวงแฟชั่น แฟชั่นวีคเป็นเหมือนกับการตรวจข้อสอบครั้งใหญ่เพื่อพิสูจน์ว่าเทรนด์ที่ตัวเองได้เก็งไว้ก่อนหน้านั้นถูกต้องหรือไม่ หรือสำหรับคนที่รักการแต่งตัว แฟชั่นวีคก็จะเป็นเข็มทิศชี้นำทางว่าฤดูกาลนี้ควรหยิบอะไรมาใส่ ดังนั้น ความสำคัญของแฟชั่นวีคจึงเป็นการเผยแพร่เทรนด์แฟชั่นอย่างหนึ่ง จากห้องเสื้อหนึ่งสู่หัวเมืองใหญ่ทั่วโลก เปรียบเหมือนการนำเทรนด์ต่างๆ สาดลงแม่น้ำ จากนั้นน้ำก็จะพาเทรนด์ใหม่ๆ ไปสู่ผู้คนในแต่ละประเทศ นอกจากนี้ สิ่งที่จะพูดถึงต่อไปนี้ ก็คือเทรนด์แฟชั่นที่พร้อมจะเผยแพร่ไปสู่โลกในอีกไม่นานนี้ อาจเป็นช่วงกลางปีหรือปลายปีก็ย่อมได้ บางเทรนด์เป็นสิ่งใหม่ที่หลายคนไม่เคยลอง แต่ในขณะเดียวกัน บางอันก็ยังเป็นเทรนด์เก่าที่ครองโลกแฟชั่นมานานพอตัว ดังนั้น ถ้ารักการแต่งตัว รู้ไว้ก่อนย่อมเป็นสิ่งที่ดี!

...
แฟชั่นกำลังเฟื่อง “ฟู”

นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1930 ที่ Eddie Bauer ได้ริเริ่มออกแบบเสื้อสไตล์ Puffer ก็เป็นระยะเวลากว่า 90 ปีแล้วที่หลายแบรนด์ต่างก็สไตล์นี้ไปประกอบซิลูเอท เช่นเดียวกันกับปี 2023 นี้เองที่เทรนด์ “นุ่มฟู” กลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเพียงแค่เสื้อสไตล์ Puffer หากแต่ยังหมายรวมถึงกระเป๋าถือและเครื่องประดับด้วย รันเวย์ที่โดดเด่นเรื่องการนำสไตล์ Puffer ครั้งนี้ก็คือ Prada ซึ่งได้เปิดตัวเสื้อกล้ามสีขาวพร้อม Puffer เล็กน้อยบริเวณกลางตัว ความเรียบหรูและน้อยแต่มากครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นผลงานการออกแบบของ Raf Simon ดีไซเนอร์คู่หูคู่ใจของ Miucia Prada ที่มาร่วมงานด้วย และเมื่อเรามองออกไปบนท้องถนนทั้งกรุงปารีสและนครมิลาน จะได้พบกับผู้คนที่เลือกสไตล์ Puffer นี้มาสวมใส่ทั้งเสื้อโค้ท เสื้อกั๊ก และกระเป๋าถือ อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เทรนด์นี้ได้รับความนิยมมากขึ้น ก็คงไม่พ้นความนิยมทุนเดิมของ Puffer Style ที่บูมมาตั้งแต่ช่วงปี 2020 จากไอเท็มของแบรนด์สายสตรีทอย่าง Vetement และ Balenciaga หรือแม้แต่แบรนด์สู้ลมหนาว North Face ก็เป็นส่วนหนึ่งในความแบรนด์นี้ด้วย รวมถึงเทรนด์แฟชั่นสุดฮิตในปัจจุบันอย่าง Y2K ก็พร้อมผลักดันให้แฟชั่นนี้แพร่หลายไปทั่วแฟชั่นวีคด้วยเช่นกัน ดังนั้น เราจึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าแฟชั่นวีคที่ผ่านมานี้ได้กลายเป็นศูนย์รวม Puffer ไปเสียแล้ว!

...
โลกใหม่ใต้ใบมะกอกและทรายสีเบจ

”เอิร์ธโทนยังเป็นเหมือนหนังสือนำชีวิตของผู้คน” ประโยคนี้ยังคงเป็นจริงเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ในปี 2023 นี้ที่เทรนด์แฟชั่นอย่าง Earth Tone ก็ยังคงเชิดหน้าชูตาอยู่ในวงการแฟชั่นได้แบบไม่พลิกโผ นำโดยรันเวย์จากแบรนด์สุดเรียบหรูอย่าง Kenzo และห้องเสื้อในตำนานของฝรั่งเศสอย่าง Dior ซึ่งพร้อมออกลุคแฟชั่นสีเอิร์ธโทนอย่างสีเบจและสีเขียวมะกอกสู่สายตาสาธารณชน แต่ไม่เพียงแค่ในรันเวย์เท่านั้น เพราะริมท้องถนนเองต่างก็เลือกเฉดสีนี้มาเป็นส่วนหนึ่งในการแต่งตัวด้วย เมื่อ Earth Tone อย่างสีเบจและสีมะกอกได้กลายเป็นที่นิยม อีกหนึ่งสิ่งที่จะมาควบคู่ดั่งประตูที่ตั้งขนานกัน นั่นก็คือแฟชั่นสไตล์ Minimalism ที่มักจะเน้นความเรียบง่ายไม่หวือหวา โดดเด่นด้วยแพทเทิร์นและคัตติ้งให้เฉียบคม อย่างไรก็ตาม แรกเริ่มเดิมที Earth Tone นั้นมักนิยมใช้ในงานตกแต่งภายใน จากนั้นในปี 1970 ก็เริ่มเข้าสู่วงการแฟชั่นด้วยเทรนด์ชุดสูท และเมื่อเวลาผ่านไปเข้าสู่ยุคปัจจุบันที่ทั่วโลกต่างเน้นเรื่อง Sustainability และภาวะโลกร้อน เฉดสีรักษ์โลกจึงได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับสไตล์ที่เปลี่ยนไป เน้นความเรียบหรูมากขึ้น หรือบางคนก็อาจเพิ่มลูกเล่นให้แก่ลุคเสื้อผ้าด้วยการสวมแบบ Double Layer เรียกได้ว่าเป็นโทนสีที่เพิ่มลดลูกเล่นได้ตามอิสระแล้วแต่ผู้สวมใส่ อีกทั้งยังอาจเรียกได้ว่าเป็นสีกันตายสำหรับคนที่อยากแต่งตัวแต่ยังไม่กล้าปลดปล่อยมากด้วย และด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้เอง จึงพบเห็นเทรนด์นี้บ่อยครั้งทั้งในมิลานและปารีสแฟชั่นวีค

...
พิมพ์ให้ "เพลิน" ?

ลายพิมพ์และวงการแฟชั่นนั้นแทบจะเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กันมาตลอด (อาจจะตั้งแต่มีแฟชั่นเลยก็ย่อมได้) และแน่นอนว่าลายพิมพ์ก็จะปรับแต่งไปตามแต่ละยุคสมัยและวัฒนธรรม สำหรับแฟชั่นวีคปี 2023 นี้ ลายพิมพ์ที่ได้รับความนิยมตามท้องถนน ทุกซอก ทุกมุมในปารีสและมิลาน จะเป็นลายพิมพ์สตรีทสไตล์ อาทิ ลายพิมพ์สีมัดย้อม ลายพิมพ์ลายธรรมชาติ (เช่น ดอกไม้ ใบหญ้า) ลายพิมพ์ในแต่ละวัฒนธรรม (เช่น สไตล์อังกฤษและสไตล์แอฟริกัน) หรือแม้แต่ลายพิมพ์สไตล์ Animal Print อย่างลายเสือก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ นอกจากนี้ ถ้าลองสังเกตลายพิมพ์ของผู้คนตามท้องถนนช่วงแฟชั่นวีค จะพบว่าไม่ได้โดดเด่นแค่ลายพิมพ์แต่อย่างเดียว หากแต่ยังเข้ากันได้ดีกับวัสดุที่ใช้พิมพ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นขนสัตว์เทียมพิมพ์ลายดอกไม้ ผ้าพันคอเนื้อเบาพิมพ์ลายศิลปะ แน่นอนว่าการสนุกสนานกับลายพิมพ์นี้ก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว เพราะสามารถหยิบจับได้ตามชอบ แถมยังสร้างเอกลักษณ์ ให้กับเสื้อผ้าของเราได้เป็นอย่างดีเยี่ยม เรียกได้ว่าเป็นเทรนด์แฟชั่นที่สามารถปรับแต่งได้ตามความชอบของแต่ละคนเลยทีเดียว

...
All Black Never die

เทรนด์สุดท้ายนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็น “อมตะ” มาตั้งแต่ยุคโบราณ ครั้งหนึ่งถูกใช้สำหรับไว้ทุกข์ แต่ปัจจุบันนี้ได้กลายมาเป็นเทรนด์สุดฮิตที่ไม่ว่าใครที่ไหนก็สามารถแต่งตามได้ จะเอาไปแต่งในโอกาสไหนก็ลุยได้เช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่แฟชั่นวีคปี 2023 นี้ที่เทรนด์แฟชั่นอย่าง All Black ยังคงโดดเด่นท่ามกลางกระแสอื่นๆ เมื่อมองไปยังท้องถนนทั้งกรุงปารีสและนครมิลาน ท่ามกลางเสื้อหลากสีสันหลายแพทเทิร์น สีดำก็ยังคงเป็นสิ่งที่หลายคนเลือกที่จะมาใส่ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการใส่ดำทั้งตัวนั้นคือการทำอัตวิบากกรรมทางแฟชั่นอย่างหนึ่ง เพราะจะไม่สามารถแยกองค์ประกอบได้เลยว่าส่วนไหนคือเสื้อ กางเกง หรือรองเท้า แต่แท้จริงแล้ว หากลองสังเกตผู้คนช่วงปารีสแฟชั่นวีคที่ใส่ All Black จะเห็นเลยว่าได้มีการสร้างลูกเล่นผ่านสีดำที่หลากหลายเฉดหรือหลายพิมพ์มากขึ้น ตัวอย่างเช่น การใส่เสื้อข้างในให้ข้างในเข้มกว่า จากนั้นทับด้วยข้างนอกที่อ่อนกว่าก็ย่อมได้ สำหรับเทรนด์นี้คงไม่ต้องมีเครื่องพิสูจน์ใดๆ ว่ามันฮิต เพราะไม่ว่าจะส่วนไหนของแฟชั่นวีคทั้งในรันเวย์หรือท้องถนนต่างก็หยิบเทรนด์นี้มาใช้กันอย่างทั่วถึง หรือจะถ้านึกไม่ออกว่าใครเป็นตัวชูโรงแฟชั่น All Black ในช่วงแฟชั่นวีค 2023 นี้ ฝั่งเอเชียก็คงต้องเป็นหนุ่ม เตนล์ ชิตพล ที่มาลุคเปิดอกของ YSL หรือแม้แต่ Jackson Wang ก็มาในลุค All Black เพื่อไปรันเวย์ของ Louis Vuitton เช่นกัน หรือหากเป็นฝั่งตะวันตก คงต้องให้คนนี้เลย องค์มัม องค์มารดาแห่งแฟชั่นทั้งปวง Sam Smith นั่นเอง เอาล่ะ ดังนั้น ใครอยากนำเทรนด์นี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน อย่ารอช้าเลย!

สรุป

เทรนด์แฟชั่นในช่วงปี 2023 นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวงการแฟชั่น เรากำลังจะย้อนกลับไปหาแฟชั่นในอดีต หรือเรากำลังจะไปสู่อนาคต หรือไม่แน่เราอาจจะนำทั้งสองอย่างมาผสานกันจนเป็นแฟชั่นเทรนด์ใหม่ แต่แน่นอนว่า 4 เทรนด์ที่ SASOM ได้สรุปมาให้นี้รับรองว่านำกระแสและมาแน่นอน ใครที่ยังติดตามเทรนด์ อยากจะไฮป์ก่อนใครไม่ควรพลาดเด็ดขาด