What’s next for Fashion? | 4 Fashion brand for “Eco-Friendly”

เมื่อโลกเริ่มย่ำแย่ วงการแฟชั่นจะอยู่ยังไง? | ชี้เป้า 4 แบรนด์แฟชั่นที่พร้อมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

16/10/2022

...

“Bloom Before Doom” - Nike ขึ้นต้นมาขนาดนี้ หลายคนคงเข้าใจประเด็นสำคัญที่จะมาบอกกล่าวในวันนี้โดยทันที ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมและโลกร้อนนับเป็นประเด็นสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่นๆ เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ เราชาวไทยคงได้เห็นแล้วว่าสถานการณ์ภัยธรรมชาติก็เริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น จนทำให้เราเริ่มตั้งข้อสงสัยแล้วว่า โลกใกล้จะจบสิ้นจริงๆ หรือเปล่า? แน่นอนว่าอุตสาหกรรมหลายประเภทส่งผลต่อภาวะเรือนกระจกอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่อุตสาหกรรมที่ทำลายโลกไม่น้อยหน้าใคร นั่นคือ อุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคหลายคนเลือกใช้สินค้าที่เป็น Eco-Friendly จนกลายเป็นเทรนด์ Sustainability ในที่สุด ดังนั้นวันนี้ เราจะไปดูกันว่า เมื่อโลกใบนี้ย่ำแย่ขนาดนี้ แบรนด์ไหนปรับตัวยังไงบ้าง

...
Move to Zero จากแบรนด์ Nike

เปิดประเดิมด้วยแบรนด์สุดยิ่งใหญ่แห่งวงการสตรีทแวร์และรองเท้าอย่าง Nike ที่พร้อมพลิกโฉมวงการให้หันมาใส่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้นด้วยคอนเซ็ปต์ Move to Zero และรองเท้าผ้าใบรุ่นใหม่ Next Nature ที่ใส่ใจโลกมากกว่าเดิม โดยจะใช้วัสดุรีไซเคิลมากถึง 25% ของน้ำหนัก แต่คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั่นคือ Nike Dunk Low Next Nature ที่มีสีสันให้เลือกหลากหลาย ซึ่งมาพร้อมกับพื้นรองเท้าสีเขียวพิมพ์ลายสัญลักษณ์ Move to Zero รวมถึงกล่องรองเท้าที่ใช้ก็จะเป็นวัสดุรีไซเคิลด้วย แต่ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะทาง Nike เขาใส่ใจโลกเพิ่มเติมด้วยการเปิดให้บริจาคและรีไซเคิลรองเท้าที่ผ่านการใช้งาน รวมไปถึงการซื้อรองเท้ามือสองในราคาที่ต่ำลงด้วย และทั้งหมดทั้งมวลนี้มีจุดประสงค์เพื่อลดคาร์บอนและจำกัดการปล่อยแก๊สสู่บรรยากาศ ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะเรือนกระจก นอกจากนี้ Nike ยังมีนโนบายอื่นๆ ที่สนับสนุนให้ผู้คนอนุรักษ์โลกใบนี้มากขึ้น เช่น Zero Carbon & Zero Waste ที่จะนำเส้นใยผ้ามาผสมกับวัสดุรีไซเคิล หรือแม้แต่ซิป ก็จะใช้วัสดุเหลือใช้มาแปรรูปให้กลายเป็นยางด้วย และยิ่งไปกว่านั้น Nike ก็จริงจังกับภารกิจรักโลกนี้เป็นพิเศษด้วยการตั้งเป้าหมายอย่างแน่วแน่ว่า ในปี 2025 จะต้องใช้พลังงานทดแทนในการผลิตรองเท้าแบบ 100% และในปี 2025 จะปล่อยก๊าซคาร์บอนให้ลดลง 30% และในปี 2023 จะนำเข้าวัสดุเหลือใช้ ขยะจากการผลิต รวมไปถึงจะเปลี่ยนขวดพลาสติกกว่าหนึ่งพันล้านใบให้การเป็นเส้นใยเพื่อผลิตรองเท้า Flyknit ด้วย บอกเลยว่า เป็นอะไรที่จริงจังมากๆ แต่ก็ยังโดดเด่นด้วยคุณภาพอันเหลือล้น

...
จากท้องทะเลสู่แฟชั่นโก้เก๋ Prada Re-Nylon

แบรนด์จากอิตาลีอย่าง Prada ที่มีประวัติศาสตร์อย่างยาวนานหลายทศวรรษ ก็หันมา พร้อมกับถ่ายทอดเรื่องราวใหม่ๆ ให้วงการแฟชั่นสาย Luxury แบบรักโลกและรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น นับตั้งแต่ปี 2019 แคปซูลคอลเลคชั่นอย่าง Prada Re-Nylon ก็ได้ปฏิวัติวงการแฟชั่นด้วยการนำนวัตกรรมที่ส่งเสริมการลดโลกร้อนมาใช้ แน่นอนว่า สิ่งที่น่าสนใจของไอเท็มคอลเลคชั่น Prada Re-Nylon นั้นไม่ได้มีเพียงรูปลักษณ์ที่ดูสะอาดตา ดูเรียบหรูเพียงอย่างเดียว แต่คอลเลคชันนี้รักโลกมากๆ เพราะตัวไอเท็มเป็น “ผ้าไนลอนรีไซเคิล” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเศษพลาสติกในมหาสมุทร ตาข่ายจับปลา เศษผ้าและใยผ้าที่เหลือใช้จากโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลก จากนั้นก็นำมาผ่านกรรมวิธี Depolymerization และ Re-Polymerisation ให้กลายเป็นเส้นใย ECONYL® แล้วทอขึ้นมาเป็นผ้าไนลอนผืนใหม่ โดยจะทอเป็นเส้นใยผ้าไนลอนตามแบบฉบับซิกเนเจอร์ประจำแบรนด์ได้แก่  Nylon Gabardine ที่จะมีความมันวาว เนื้อสัมผัสนุ่มละมุนละเอียด และ Nylon Piuma ที่เป็นผ้าเนื้อละเอียด พลิ้ว น้ำหนักเบาดั่งขนนก บอกเลยว่าการใช้เส้นด้ายแบบนี้ยังช่วยลดโลกถึง 90% มากกว่าที่ใช้ผ้าไนลอนทั่วๆ ไปด้วย นอกจากนี้ Prada ยังได้มอบสัญลักษณ์พิเศษให้แก่คอลเลคชันนี้ นั่นคือ การเปลี่ยนสามเหลี่ยมซิกเนเจอร์ให้เป็นลูกศรหมุนวนเป็นสามเหลี่ยม ซึ่งหมายถึงการหมุนเวียนนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ใครที่เป็นหนุ่มสาวสายลักชูร์ บอกเลยว่า คอลเลคชัน Prada นี้ต้องจัด เพราะดูดีมีสกุลสุดๆ แล้วยังอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างดีเยี่ยม

...
จริงจัง จริงใจ โลกสร้างได้ด้วย Sporty & Rich

อีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าจับตามอง เพราะนโยบายเรื่องการอนุรักษ์สภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของเขานั้น “จริงจังและแน่วแน่” มากๆ นั่นคือ Sporty&Rich แบรนด์สายสตรีทตามฉบับมินิมอลลิสต์ บอกเลยว่าแบรนด์นี้ซีเรียสเรื่องธรรมชาติมากๆ ถึงขนาดร่วมมือกับองค์กรสิ่งแวดล้อมเพื่อให้แนะนำว่า ขั้นตอนไหนหรือวัสดุใดในการผลิตส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงบอกแก่ชาวโลกว่า “ในทุกๆ ปี แบรนด์ส่วนใหญ่จะใช้เงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อทำลายขยะเหลือใช้ และ Sporty&Rich ก็อยากจะทำลายระบบนี้ให้หายไปตลอดกาล” ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ไอเท็มจาก Sporty&Rich นั้นจะผลิตออกมาในจำนวนที่จำกัด เพื่อไม่ให้เกิดขยะเหลือใช้ในการผลิตและสินค้าตกค้างสต็อก นอกจากนี้ Sporty&Rich ไม่ได้แค่พยายาม “หยุด” สภาวะโลกร้อนเท่านั้น หากแต่ยัง “ให้กำเนิด” ธรรมชาติใหม่ๆ แก่โลกใบนี้ ด้วยการตั้งนโยบายว่า 1 Order = 1 ต้นไม้ที่ปลูกใหม่ ซึ่งเป็นนโยบายที่เหนือชั้นมากๆ เพราะการปลูกต้นไม้ไม่ใช่แค่อุดรอยโหว่ของชั้นโอโซนได้ แต่ยังเป็นการอนุรักษ์พืชพันธุ์และสัตว์ป่าด้วย แน่นอนว่ายังไม่หมดเท่านี้ เพราะ Sporty&Rich ได้ทำการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์สินค้าด้วย จากเดิมที่ทั้งโลกเลือกใช้พลาสติก Sporty&Rich หันมาใช้วัสดุหีบห่อที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติแบบ 100% แน่นอนว่าที่กล่าวมานั้นเป็นแค่นโยบายด้านธรรมชาติส่วนหนึ่งของ Sporty&Rich ยังมีอีกหลายข้อที่ชวนให้คุณว้าวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การลด Carbon Footprint ด้วยการคำนวณคาร์บอนที่แบรนด์ปล่อยออกมาในแต่ละปี, Green Friday ที่จะนำรายได้ 20% ของแต่ละออเดอร์ไปบริจาคให้แก่องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม หรือจะเป็นการตั้งโรงงานและฐานการผลิตที่ใกล้กันเพื่อให้ง่ายต่อการขนส่งและลดมลพิษให้ได้มากที่สุด เป็นต้น

...
จากสาหร่ายสู่รองเท้าสุดไฮป์ Yeezy Foam Runner

เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่น่าสนใจภายใต้บังเหียนของ Kanye West ที่พยายามสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้โลกแฟชั่นได้ตะลึงงันอยู่เสมอ เพราะในปี 2020 adidas และ Yeezy ได้ผนึกกำลังกันเปิดตัวรองเท้าสุดเก๋ที่มาพร้อมกับการอนุรักษ์โลกแบบเต็มเปี่ยม นั่นคือ Yeezy Foam Runner รุ่นใหม่ที่ Kanye West ได้บอกกล่าวแก่ชาวโลกว่า รองเท้าคู่นี้เป็นการผสมผสานระหว่าง petroleum-based ethylene-vinyl acetate หรือที่เรียกกันว่า EVA และโฟมที่ทำมาจากสาหร่ายในทะเลสาบ ด้วยการนำนวัตกรรม Algae Harvesting มาประยุกต์ใช้ แน่นอนว่าเทคโนโลยีข้างต้นนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้ Yeezy Foam Runner ใส่แล้วนุ่มสบายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ทะเลสาบสะอาดขึ้นมากเป็นเท่าตัวด้วย นอกจากการใช้เทคโนโลยียุคใหม่อย่าง Algae Harvesting มาใช้กับ Yeezy Foam Runner แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่พี่เย่เลือกใช้เพื่ออนาคตของโลก ก็คือ การใช้กล่องรองเท้าแบบใหม่ที่ใช้วัสดุน้อยลง โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยลดขยะที่เกิดจากการผลิตนั่นเอง

สรุป

เป็นยังไงกันบ้าง อย่างที่บอกไปว่าแบรนด์ทุกแบรนด์ย่อมมีการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดในสังคม อีกทั้งเราทราบกันดีว่าทุกคนอยากแต่งตัวให้ดูสวยงาม แต่ความงามนั้นต้องไม่ส่งผลร้ายต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อธรรมชาติโลกเปลี่ยนไป ก็ย่อมสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทุกสรรพชีวิต ดังนั้น ผู้คนจึงควรตระหนักถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้นหากละเลยสิ่งแวดล้อม พร้อมกับหันมาสนใจและอุดหนุนแบรนด์ที่ใส่ใจ Eco-Friendly และสิ่งแวดล้อม